THE THIRD EYE OF BLIND MAN
หากเปิดรายชื่อบุคคลที่ 24/7 สัมภาษณ์มาทั้งหมด เราเชื่อว่าไม่มีใครเป็นเหมือนชายคนนี้ ชายผู้มีตาที่ 3 ที่ผ่านมา 24/7 คุยเรื่องสังคมและการเมืองกับคนที่มองเห็นสังคมอยู่ตลอดเวลา บางทีเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเราตกเป็นเครื่องมือของเขา หรืออาจจะโดนความคิดและมุมมองของเขาหลอกลวงอยู่หรือไม่
แต่ครั้งนี้เราได้คุยกับคนที่มองเห็นสังคมโดยปราศจากการรับรู้ทางสายตา แต่รับรู้ได้จากความรู้สึกนึกคิด และการวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลทดแทนการมองเห็นด้วยตา ชายคนนั้นคือ ‘เติ๊ด-ต่อพงษ์ เสลานนท์’ นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และอีกหลายตำแหน่งที่เขารับหน้าที่อยู่เพื่อช่วยขับเคลื่อนสังคมของคนพิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีให้เทียบเท่าคนปกติ
ย้อนกลับไป 22 ปีที่แล้ว ต่อพงษ์ไม่ได้เป็นผู้พิการทางสายตา เขาคือคนที่มีสายตาปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป ทว่าอุบัติเหตุตอนอายุ 16 ปี ทำให้ต่อพงษ์สูญเสียการมองเห็นไปแบบถาวร หากมองในแง่ของคนทั่วๆ ไป การสูญเสียดวงตาในขณะที่ตัวเองเคยมองเห็นย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากในการเข้าสู่โลกของความมืด บางคนอาจทนในสภาวะนี้ไม่ได้ ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นทำอัตวิบากกรรมตัวเองเพื่อให้พ้นสภาพที่เป็นอยู่
ทว่า ต่อพงษ์ไม่ใช่แบบนั้น
เขาเข้มแข็งพอที่จะยอมรับกับสภาวะที่เขาเป็น และใช้ชีวิตต่ออย่างสนุกสนานเหมือนเดิม แล้วยังคงสนุกสนานอยู่กับการเรียนรู้ พร้อมเลิกตั้งคำถามว่า ทำไมเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา
เขาชดเชยการสูญเสียทางการมองเห็นด้วยการท่องโลกอินเตอร์เน็ต ทั้งยังเป็นนักอ่านระดับหนอน เขาบอกว่าไม่เคยกลัวหรือท้อแท้กับการเรียน เพราะเขารู้สึกสนุกเหมือนกำลังได้เที่ยว ได้ผจญภัยในที่ลึกลับผ่านตัวหนังสือ พร้อมกับมุมานะเรียนจนจบปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และปริญญาโท คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม วิชาเอกการวิเคราะห์และวางแผนนโยบายทางสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)
ไม่เพียงเท่านี้ ในเรื่องของสังคมทั่วๆ ไปเขามองเห็นสังคมในมุมมองที่คนสายตาปกติมองไม่เห็น แต่เขามองเห็น และเป็นการมองเห็นที่น่าสนใจเกินกว่าจะปล่อยผ่าน พร้อมชี้ชวนให้เราหันมาทบทวนกับตัวเองอีกครั้งหนึ่งว่า เรากำลังลืมมองอะไรไปหรือเปล่า ยิ่งการทำงานของเขาที่ต้องข้องเกี่ยวกับภาคการเมือง ทำให้เขามีทัศนคติทางการเมืองและแสดงความคิดเห็นได้อย่างน่าสนใจ บางทีรู้ลึกรู้จริงมากกว่าที่คนตาดีรู้เสียอีก
เราถึงได้บอกว่าชายคนนี้มีตาที่ 3
ก่อนจะเข้าสู่โลกของชายผู้มีตาที่ 3 เราอยากให้คุณลองหลับตาแล้วลองใช้ชีวิตเยี่ยงคนตาบอดดูสักครั้ง คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง เราเชื่อว่าแม้คุณจะหลับตาแล้วลองใช้ชีวิตอย่างเขา คุณก็ไม่อาจมองเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น อย่างที่ชายคนนี้เห็น
ทีนี้…ลองเปิดตาแล้วมองตัวหนังสือที่เราสนทนากัน แล้วคุณจะเห็นในสิ่งที่คุณมองไม่เห็น แต่เขามองเห็น
ส่วนตาที่ 3 ของเขาที่ใช้มองแทน 2 ตาที่เสียไปนั้นคืออะไร 24/7 เชื่อว่าคุณจะได้คำตอบ
คุณชอบถกปัญหาสังคม การเมือง กับใครมากที่สุด
ต่อพงษ์: ผมชอบคุยกับ ดร.พนา ทองมีอาคม เป็นอาจารย์นิเทศจุฬาฯ เรารู้จักกันมานานมาก เพราะเราทำงานที่ กสทช.ด้วยกัน เราสนิทกันมากและชอบถกเรื่องสังคมและเรื่องวิชาการกันตลอด โดยเฉพาะในวงเหล้า (หัวเราะ) เราคุยกันลากยาวบ่อยมากๆ คุณลองคิดดูสิ ผู้ชายสองคนในวัยที่แตกต่าง แต่คุยกันรู้เรื่อง คนหนึ่งอายุ 65 ปี อีกคนอายุ 37 ปี อายุมันห่างกันมาก แต่มานั่งคุยกันแสดงว่าต้องมีบางเรื่องที่จูนกันติด ซึ่งก็คือเรื่องนโยบาย บ้านเมือง ไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิต เราคุยกันสนุกมากๆ ผมเองก็เป็นคนที่ชอบคิด ชอบหาแง่มุมที่ผมสัมผัสได้มาถกเถียงกัน แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้มองในประเด็นนั้น
เช่นอะไรบ้าง
ต่อพงษ์: เราคุยกันเชิง ‘วิพากษ์วิธี’ คือคุยกันในเชิงเหมือนเถียง คุยให้เกิดมุมวิพากษ์ ซึ่งมันต้องมีมุมอะไรสักอย่างที่เรามองว่าเป็นจุดที่ขัดแย้ง แล้วสร้างบทสรุปใหม่ให้กับประเด็นนั้น ให้ผมยกตัวอย่างคงเยอะ เพราะเราเถียงกันล้านแปดเรื่อง (หัวเราะ) สิ่งที่เราคุยกันบ่อยมากคือเรื่อง Generation Analysis ผมจบปริญญาโทจากคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่นิด้า สิ่งที่ผมสนใจก็คือการศึกษาและอ่านความเป็นไปของสังคม เราดูความเป็นไปเพื่อสร้างแนวคิดที่ช่วยเปลี่ยนสังคมในทางที่ดี นี่คือพื้นฐานความรู้ ความสนใจ ความถนัดของผมคือเรื่องเจเนอเรชั่น เรื่องของเจเนอเรชั่นมีการแบ่งออกมาเป็น 5 ยุค คือ ยุคก่อน Gen B, ยุค Gen B, ยุค Gen X, ยุค Gen Y, และยุค Gen M คนแต่ละกลุ่มมีชุดความคิดที่ต่างกันมากๆ อย่างตอนที่ผมอยู่บ้าน ผมมักโดนแม่บ่นอยู่บ่อยๆ ว่า “ทำไมเติ๊ดไม่เชื่อฟังแม่เลย ไม่เหมือนตอนแม่กับคุณยายเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นก่อนเจนบีกับคนยุคเจนบี คือวิถีคิดแบบไทยที่พ่อแม่ว่ายังไงก็ว่าตาม นั่นคือบรรทัดฐานของสังคมที่บอกว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ใครที่แหวกแนวออกมาก็จะมีปัญหาในชีวิต สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในวรรณกรรม อย่างเช่น ขวัญเรียม หรือวรรณกรรมไทยเรื่องอื่นๆ ที่พระเอก-นางเอกไม่ทำตามคำสั่งพ่อ-แม่ ใครที่แหวกแนว สุดท้ายชีวิตก็เจอความไม่สมบูรณ์ไม่สำเร็จ นั่นคือวิถีของคนยุคเจนบี และยุคก่อนเจนบี
สำหรับยุคผมหรือเจนเอ็กซ์ เราโตมากับสังคมที่ข้อมูลข่าวสารเยอะขึ้น เยอะในระดับที่เข้าใจเหตุผล เชื่อสื่อที่เป็นสื่อกระแสหลัก เทียบกับคนยุคก่อนหน้าผมที่ Input คือพ่อ-แม่ เพราะสื่อยังน้อย ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับก็ยังน้อยอยู่ ข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวก็คือพ่อและแม่ บรรพบุรุษหรือสิ่งแวดล้อมที่จำกัด แต่เจนเอ็กซ์มีสื่อให้เสพมากกว่าเจนบี มีระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มากขึ้น ผมโตมาในยุคประชาธิปไตยเต็มใบ ประชาธิปไตยครึ่งใบ และยุคที่การเมืองวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ ผมโตมากับอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล ฟังแล้วเข้าใจ สมจริง เราจึงเชื่อ แต่ในขณะที่กลุ่มเจนวายก็จะเป็นอีกแบบ ผมกับอาจารย์พนาจึงมีเรื่องให้ถกกันประจำ เรื่องการเมืองก็เกี่ยวข้องกับเรื่อง Generation Gap ซึ่งเราก็นำมาถกกันอยู่บ่อยๆ
ความขัดแย้งทางการเมืองในทุกวันนี้ คุณก็เชื่อว่าเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัย
ต่อพงษ์: ใช่ เกี่ยวกับเรื่องของช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) สิ่งหนึ่งที่สังคมไทยไม่ได้สร้างไว้ คือ ‘การบอกว่าช่วงเวลาไหน หรืออะไรคือสิ่งที่เหมาะสมสำหรับช่วงเวลานั้น’ อาจารย์พนาบอกว่าคนที่ควรจะมีบทบาททางการเมืองและสังคม ณ วันนี้ควรจะเป็นคนรุ่นเจนเอ็กซ์ แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงชุดความคิดขนานใหญ่ของสังคม กลับเกิดปัญหาทางการเมือง แย่งชิงอำนาจกันระหว่างคนเจนเอ็กซ์ กับคนรุ่นเจนบี และคนรุ่นก่อนเจนบี ถ้าพูดให้มันแรงๆ ก็คือ คนรุ่นก่อนหน้าเจนบีที่ร่อยหรอไปแล้วบางคนก็ยังมีอิทธิพลอยู่ รุ่นต่อมาคือรุ่นเจนบีก็ต้องการมีบทบาทบ้าง แต่โดนคนรุ่นก่อนเจนบีกดไว้อยู่ ขณะที่เจนเอ็กก็กำลังขึ้นมามีบทบาท ผมคงไม่ต้องบอกว่าคนรุ่นก่อนเจนบี รุ่นเจนบี รุ่นเจนเอ็กซ์มีใครบ้าง ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเดาออก หนึ่งในคนเจนบีที่ผมกำลังพูดถึงเขาก็มีพลังสูงมาก เพราะอยู่ในจุดพีคของชีวิต แก่ก็ยังไม่แก่มาก แต่ถือครองความมั่งคั่งมหาศาล อยู่ในจุดที่ตัดสินใจได้ มีอำนาจสูงสุด แต่ยังคงโดนกดอยู่ การตกลงไม่ลงตัว ฝั่งเจนเอ็กซ์ก็มีคนรุ่นก่อนเจนบีหนุนหลัง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันปัญหาจึงยังคงเห็นอยู่ในทุกวันนี้
ปัญหาการเมืองของบ้านเราคืออะไร
ต่อพงษ์: ผมมองว่าการเมืองจะปรับตามสภาวะสังคม จุดตั้งต้นของชีวิตมนุษย์ คือต้องการทุกอย่างในชีวิตที่ดี ทั้งคุณภาพชีวิต ระบบสาธารณสุข การศึกษา สังคมบันเทิง นี่คือจุดที่มนุษย์ทั่วไปต้องการ แต่พอรัฐไม่สามารถทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดกับเขา เขาจึงต้องแสวงหาโอกาส ซึ่งก็คือการอพยพมาหางานทำในเมืองหลวงเพื่อความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ความหวังจึงเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและกลายเป็นปัญหาทางการเมืองคือ ระบบอุปถัมภ์ ใครที่มีเงินมีอำนาจคนก็ต้องเข้าหา ทุกคนมีความหวังที่จะเกาะแกนอำนาจเพื่อดึงทรัพยากรมาชดเชย เยียวยาสิ่งที่ตัวเองขาดในชีวิต ถ้าระบบรัฐเอื้อมไม่ถึงเราจะเข้าถึงระบบอุปถัมภ์ทันทีปัญหาของเรื่องนี้คือการกระจายทรัพยากร การกระจายความมั่งคั่งของภาครัฐมีปัญหา แต่รัฐไม่กระจายในสิ่งที่พึงกระจายให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า คนที่เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ผู้มีอำนาจ เขาสนใจความทุกข์ร้อนของคนที่ไม่ได้เข้ามาสู่วิถีของอำนาจมากแค่ไหน แนวทางของผมจึงชอบการเมืองแบบมีส่วนร่วม การเมืองที่กระจายอำนาจ การเมืองที่ไม่ใช่คนไม่กี่คนที่มีอำนาจมาจัดสรรทรัพยากร แต่ต้องเป็นคนจำนวนมากที่มาจัดสรรทรัพยากรเพื่อกระจายให้เท่าเทียม พวกที่เข้ามาสู่การเมืองคือ กลุ่มทุน กลุ่มธุรกิจ ทั้งระดับประเทศหรือท้องถิ่น เขาเอาเงินกลับไปสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองเพื่อให้ระบบอุปถัมภ์เข้มแข็ง แต่ไม่ตอบโจทย์ในการทำให้ประชากรเข้มแข็งด้วยตัวเอง นั่นทำให้การเมืองทุกวันนี้ช่วยให้ระบบอุปถัมภ์มันถาวรมากขึ้น
คุณหมายถึงทุกรัฐบาลต่างก็ใช้การเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง
ต่อพงษ์: ใช่ ถูกต้อง มันมีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับกลุ่ม NGO คุณลองฟังดูนะ NGO ต่อต้านระบบอุปถัมภ์มาตลอด และพยายามทำให้ประชาชนเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองได้ แต่คนเราเมื่อถึงวันหนึ่งก็ต้องการความก้าวหน้า ความมั่งคั่ง พอ NGO ตอบโจทย์ไม่ได้ เขาก็ต้องไปแสวงหาอำนาจอื่นเพื่อช่วยตอบโจทย์ สิ่งนี้จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดมวลชนเสื้อสีต่างๆ ขึ้นมา ผมไม่ได้บอกว่า NGO คือปัญหา แต่เป็นหนึ่งในกรณีที่เห็นชัด ความขัดแย้งทุกวันนี้ผมก็ยังโทษรัฐอยู่ เพราะรัฐตอบโจทย์ไม่ได้ คนก็ต้องไปแสวงหาทางที่ทำให้เขาไปสู่จุดที่มั่งคั่งได้ นี่คือสิ่งที่พรรคไทยรักไทยในขณะนั้นอ่านเกมออก เขารู้ว่าพัฒนาการทางสังคมเป็นอย่างไร ซึ่งสมาชิกพรรคก็เป็น NGO เก่า อย่างคุณภูมิธรรม เวชยชัย และคนอื่นๆ ซึ่งเขาเห็นพัฒนาการว่าวันหนึ่งมันสุดทางที่ NGO จะตอบโจทย์ได้ เขาทำให้ประชากรมีรายได้ต่อครัวเรือนหลักหมื่นได้ แต่รายได้หลักแสนมันพ้นวิสัย เลยเป็นที่มาของกองทุนหมู่บ้านเพื่ออย่างน้อยให้คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงทุน
ด้วยระบบการเมืองที่ผูกขาดอำนาจ ผูกขาดการแชร์ทรัพยากร การเข้าถึงเงินทุนก็ยาก สมมุติคุณเป็นเจ้าของธนาคาร คุณก็จะเอื้อเงินทุนให้แก่พี่น้องหรือคนสนิท แต่ชาวบ้านจะเข้าถึงยากมาก ทุนถูกผูกขาดโดยกลุ่มคนที่จำกัด ชาวบ้านจะเข้าถึงทุนได้ต้องมีการสกรีน ทั้งมีอาชีพไหม มีเงินเก็บไหม มีคนรับรองไหม มีการศึกษาไหม กว่าจะเข้าถึงทุนได้ก็หลายขั้นตอน ในขณะที่คนดีลกันเป็นพันล้านกินกาแฟกันถ้วยเดียวดีลเลย คนที่อ่านเกมออกจึงเห็นว่า ช่วงจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ประชาชนต้องการทุนเพื่อที่จะเติบโตขึ้น จึงได้เกิดนโยบาย ‘กองทุนหมู่บ้าน’ ขึ้นมา ส่วนตัวผมเห็นด้วยแต่ก็ไม่มีกระบวนการที่ส่งเสริมให้ประชาชนทำธุรกิจไปได้สุด มันมีช่องว่างระหว่างทุนกับโปรดักต์ ซึ่งมีขั้นตอนที่ต้องพัฒนาอยู่ระหว่างสองสิ่งนี้ ถ้าหากมองในภาพรวม ปัจจัยการผลิตพื้นฐานมี 5 ประการ คือ ที่ดิน แรงงาน ทุน เทคโนโลยี และการประกอบการ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการผลิต ผู้ประกอบการทุกคนมีครบทั้ง 4 ประการ แต่ขาดอย่างเดียวคือ ความรู้ด้านการประกอบการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ประกอบการไทยไม่มีหรือไม่ได้รับการพัฒนาจากภาครัฐเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกลุ่มของประชาชนที่ได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งทุนจากนโยบายกองทุนหมู่บ้าน
ดังนั้นแล้ว ชุดนโยบายนี้ถ้าเรามองโดยเนื้อหา นโยบายดี แต่ผลลัพธ์มันเอาไปตอบโจทย์กลุ่มอำนาจเดิม คือสร้างฐานเสียงด้วยการให้ทุน แต่ไม่ให้ความรู้ วันนี้เราเห็นว่าคนที่มีอำนาจสุดท้ายก็ไม่ได้คำนึงถึงความก้าวหน้า ความมั่นคง หรือการเติบโตของปัจเจกชน เขาไม่ได้หวังผลที่จะทำให้คนในกลุ่มระดับรากหญ้าฟื้นตัวหรือเข้มแข็งขึ้นมาอย่างจริงจัง สุดท้ายก็เป็นแค่ฐานเสียงยามเลือกตั้งเท่านั้น ทุกวันนี้ภาษีที่เราเสียไปก็ไม่ได้นำไปพัฒนาคน แต่ถูกนำไปใช้สร้างถนน สร้างตึก ส่วนคนไม่พัฒนาอาจเป็นเพราะว่าคนฉลาดปกครองยาก มันก็เลยยังคงวนเป็นวงจรอุบาทว์อยู่อย่างนี้
ซึ่งนี่คือวิธีการแบ่งแยกและปกครอง
ต่อพงษ์: ใช่เลย นี่คือการแบ่งแยกและปกครอง (Divide and Rule) แต่สิ่งที่ควรจะเป็น คือการมีส่วนร่วมเพื่อการกระจายทรัพยากร ในภาษารัฐศาสตร์เขาเรียกว่าประชาธิปไตยอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้น
ดูจากสถานการณ์ที่คนต่างผลัดกันออกมาประท้วง แบบนี้เราเรียกประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมไหม
ต่อพงษ์: (หัวเราะ) เราทำเหมือนมีส่วนร่วมไง แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรมากนัก
รัฐบาลทุกชุดจริงจังกับการแก้ปัญหาสังคมแค่ไหน ในมุมมองของคุณ
ต่อพงษ์: ผมขอตั้งคำถามกับรัฐบาลสักหน่อย รัฐบาลก็รู้ว่าอีก 10-15 ปี ประชากรไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านคน ใน 80 ล้านคนจะมีผู้สูงอายุประมาณ 20% หรือ 16 ล้านคน คุณทำอะไรบ้างเพื่อรับมือสังคมที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น คำตอบคือไม่มี ขนาดคนพิการอย่างพวกผมต่อสู้เรื่องการให้รถเมล์มีพื้นต่ำเพื่อให้คนแก่ คนนั่งวิลแชร์ คนใช้ไม้เท้าขึ้นได้อย่างสะดวก รัฐบาลยังไม่ยอมเลย รถเมล์คันที่รัฐบาลกำลังจะซื้ออยู่ทุกวันนี้ ถ้าซื้อแล้วอีก 30 ปี มันถึงจะหมดไป ซึ่งพอถึงวันนั้นคนอายุ 60-70 ปีขึ้นรถเมล์ไม่ได้ ก้าวขึ้นไม่ไหว ผมถามว่า นี่หรือคือการตั้งรับของรัฐบาล
ถ้ามองในอีกมุม ทุกคนมีโอกาสพิการได้หมด สมมุติผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นรถเมล์ ใส่กระโปรงฟิต รองเท้าส้นสูง แขนมีกระเป๋าสะพาย มือหนึ่งถือถุง อีกมือหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ ผมถามว่าเขาไม่พิการตรงไหน เพราะก้าวขามากก็ไม่ได้ มือก็ไม่ว่าง หูก็ต้องคุยโทรศัพท์ แต่เราไปมองเพียงว่าความพิการคือคนพิการ ตาบอด แขนด้วน มันก็ผิด ทั้งที่ความพิการคือสภาวะที่เกิดขึ้นกับทุกคนได้ตลอดเวลา คุณตื่นมาตอนกลางคืนไฟดับ คุณก็เป็นคนตาบอด ในสภาวะนั้นคุณไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่รัฐเราไม่เข้าใจ เวลาไปดูงานเมืองนอกเห็นประเทศนั้นมีรถพื้นต่ำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการก็บอกว่าประเทศนั้นใจดีช่วยเหลือคนพิการ ไม่ใช่เลย รัฐบาลประเทศนั้นคิดว่าประชาชนทุกคนอาจเกิดสภาวะพิการได้ทุกเวลา ถ้ารัฐสนใจในสิ่งที่มันเป็นจริง สนใจทำให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ ทำให้การพึ่งพากันระหว่างปัจเจกกับปัจเจกลดลง ระบบอุปถัมภ์ก็จะลดลงตาม รัฐก็จะเข้มแข็งขึ้นและมีพลังเพิ่มขึ้นที่จะทำให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้ยิ่งขึ้น
คุณคิดจะเล่นการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้บ้างไหม
ต่อพงษ์: ต้องเรียนว่าที่ผมทำงานอยู่ทุกวันนี้ แม้จะไม่ใช่นักการเมืองโดยตรง แต่ผมก็ทำงานเกี่ยวข้องกับนโยบาย เพราะว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่รัฐบาลเอื้อมไม่ถึง การศึกษาของคนพิการมันแย่ตั้งแต่จำนวน ปริมาณ และคุณภาพ มันดูห่วยไปหมด ผมคิดว่าคนพิการเป็นคนที่มีศักยภาพ คุณบอกว่าคุณมี 100% ส่วนผมตาหายไปสองข้างผมเหลือ 90% ผมว่าไม่ใช่ คนเรามีมากกว่านั้นเยอะ พอไปติดภาพความพิการ สิ่งที่คนทั่วไปคิดคือ คนพิการทำอะไรไม่ได้ ไม่จริง ผมเชื่อว่าคนพิการทุกคนมีความเป็นอัจฉริยะในตัวเอง ผมจึงเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่มองว่ารัฐมีอะไรที่จะทำเพื่อให้ปัญหาของพวกเขาลดลง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะเป็นพลเมืองชั้นสอง เป็นคนไทยที่ได้รับสิทธิ์ที่พึงได้ต่ำกว่าคนอื่น
เมื่อผมอยู่ในบทบาทนี้ก็คล้ายกับเรากำลังทำงานกึ่งๆ การเมือง ผมเข้าไปเพื่อผลักดันกฎหมาย นโยบายต่างๆ จะบอกว่าเป็นการเมืองภาคประชาชนก็อาจได้ ความฝันของผมคือ ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากกว่าที่เป็นอยู่ ในสถานะที่เป็นตัวแทนของกลุ่ม และมีความจริงจังในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ต้องแบกเงินเป็นสิบๆ ล้านเพื่อไปซื้อเสียง ผมไม่มีปัญญาหรอก ถ้าวันนั้นมาถึงก็มีโอกาสที่ผมจะเข้าไปช่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ต้องเข้าใจว่า ‘ชีวิตประเทศยาว ชีวิตเรามันสั้น’ ผมคิดว่าถ้าเราสามารถวางรากฐานดีๆ หรือแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างหรือกลไกได้ดีมากพอ ผมเชื่อว่าคนที่ตั้งประเทศอเมริกาก็คงคิดกันหนักนะ แต่เขาก็สบายใจได้ว่า ถ้าเขาตายไปแล้วเป็นร้อยๆ ปีประเทศนี้ก็ยังอยู่และโตขึ้นด้วยความมั่งคั่ง คนยุคเราเวลาทำอะไรก็แล้วแต่จำเป็นที่จะต้องวางพื้นฐานให้มั่นคงและเป็นจริงตามสภาวะ
หลายคนบอก ‘การเมืองไทยกำลังถึงทางตัน’ คุณมีแนวทางของทางออกไหม
ต่อพงษ์: การชุมนุมในทุกวันนี้ พอผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งโดนกระทำ อีกกลุ่มหนึ่งก็จะดีใจ พออีกฝ่ายถูกกระทำ อีกฝ่ายก็ยินดีในความเพลี่ยงพล้ำหรือการบาดเจ็บของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ผมคุยกับแม่ ผมบอกว่า ก่อนจะทำอะไรทุกอย่าง ต้องไม่ตั้งต้นด้วยความเกลียดชัง ถ้าเริ่มด้วยความเกลียดชัง มันจะเป็นความสะใจ หรือไม่ก็เจ็บใจ และถ้าสั่งสมความเกลียดชังไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็อาจจะเกิดความรุนแรงที่บานปลาย
สิ่งที่ควรเป็นคือตั้งหลักด้วยความเป็นเหตุเป็นผล ความแตกต่างทางความคิด หรือจุดมุ่งหมาย เราเป็นคนที่ถูกหล่อหลอมมาโดยเบ้าหลอมเดียวกันมันพูดคุยกันได้ ต้องไม่เพิ่มความเกลียดชังให้สองฝ่าย ผมไม่อยากให้คนไทยฆ่ากัน ผมไม่อยากให้วันนึงคนที่ตายหรือสูญเสียต้องเป็นญาติพี่น้องผม ผมคิดว่าก็คงไม่มีใครอยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าวันหนึ่งฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตแล้วคุณไปดีใจ คุณมารู้ทีหลังว่าคุณเป็นญาติเขา หรือเป็นเพื่อนเขา คุณจะรู้สึกยังไง สังคมเรามันเชื่อมโยงกันหมด เราควรจะใช้จุดเชื่อมโยงนี้เป็นจุดแข็งในการหาทางออก ไม่ใช่เติมความเกลียดชังให้แต่ละฝ่ายแล้วสุดท้ายก็แตกแยกกัน
ผมเคยบรรยายว่า สิ่งที่เป็นปัญหาของสังคมไทยคือเรามักจะหวังผลสำเร็จในช่วงอายุเรา แต่ว่าสังคมอายุมันยาวกว่านั้น การเติบโตของสังคมไม่มีทางลัด มันเป็นวิวัฒนาการ สังคมจะไปสู่สังคมอุดมคติได้ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขจึงจะมีความมั่งคั่ง สังคมไทยเราเป็นสังคมที่กำลังพัฒนา การเปลี่ยนแปลงสังคมต้องใช้เวลา คนในสังคมต้องอดทน คำว่าอดทน คือคุณกำลังดำรงอยู่ในสภาวะที่ไม่พึงประสงค์ แต่การอดทนจะมีความหมายได้นั้น คุณต้องมีความหวัง ความพยายาม ความอุตสาหะนำหน้า จึงจะพาสังคมไปสู่จุดที่ดีขึ้น นี่เป็นคีย์อย่างหนึ่งนะ ว่าทำไมผมถึงยิ้มได้ ถ้าผมมองว่าการตาบอดมา 22 ปี ผมยังต้องอดทนกับความตาบอด แสดงว่าผมเป็นทุกข์กับมัน แต่ทุกวันนี้ผมบอกได้เต็มปากว่าผมมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ผมไม่ต้องอดทนกับความตาบอด ผมเพียงประคับประคอง ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ว่าทำยังไงให้ชีวิตดีขึ้น หรือจะช่วยเหลือคนอื่นได้มากขึ้น
ที่ต่างประเทศคนพิการใช้ชีวิตง่ายกว่าเมืองไทยแค่ไหน
ต่อพงษ์: ตอนผมไปญี่ปุ่นผมออกมาจากห้องพัก มีอักษรเบรลล์อยู่หน้าห้องเพื่อบอกหมายเลขห้อง ซึ่งผมก็รู้ว่าลิฟต์ต้องเดินไปทางไหน ผมเดินไปที่ลิฟต์ ลิฟต์จะมีเสียงบอกว่ากำลังขึ้นหรือลง พอลงมาลิฟต์จะมี Guiding Box อยู่ที่หน้าประตูเพื่อบอกทิศทางให้เดินไปที่ประตูทางออก พอผมเดินบนฟุตปาธก็จะมีไกดิ้งบ็อกซ์นำไปสู่สี่แยก พอข้ามแยกก็จะมีเสียงนกกระจิบกับเสียงไก่เพื่อบอกว่า เสียงไหนไปตามทิศไหน พอจะข้ามถนนก็กดปุ่มรอสัญญาณข้ามถนน เดินไปถึงหน้าสถานีรถไฟฟ้าก็มีเสียงบอก ไปถึงห้างฯก็มีพนักงานพาผมไปซื้อของ และมาส่งในจุดที่ผมเริ่มต้นเพื่อเดินกลับไปรถไฟฟ้าได้ ผมก็เดินทางกลับโรงแรมเองได้ ไม่มีใครเดือดร้อน สิ่งที่ทำให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนธรรมดาโดยที่ไม่เดือดร้อนใครมีอยู่ 3 อย่าง คือ Universal Design หมายถึง การออกแบบที่เป็นธรรม เช่น ลิฟต์คุณสามารถทำให้คนได้ยินการทำงานของลิฟต์ ซึ่งมีประโยชน์ทั้งคนตาบอดและคนตาดี ส่วน Assistive Technology ก็คือ ไกดิ้งบ็อกซ์ และอักษรเบรลล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนตาบอดรู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน และ Reasonable Accommodation ก็คือการให้ความช่วยเหลืออย่างสมเหตุสมผล ไม่ได้ประคบประหงมจนเราดูน่าเวทนา
กลับมาที่เมืองไทย ผมออกจากบ้านต้องโบกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พอเดินบนฟุตปาธแม่ค้าบอกระวังกระทะ ระวังเตาปิ้ง ระวังสะพานลอย ขึ้นรถเมล์ก็ต้องตะโกนถามว่า สายไหนครับ ต้องลุ้นว่ากระเป๋ารถเมล์จะบอกเราไหมว่าถึงที่หมายแล้ว ข้ามถนนก็ต้องระวัง ทางม้าลายก็มีมอเตอร์ไซค์ค่อมเลนอยู่ คนดูชีวิตเราก็เหมือนดูหนังแอ็คชั่น ลุ้นไปด้วย (หัวเราะ) ถึงห้างฯก็ต้องกราบกรานให้คนพาไปจุดที่เราจะไป ผมถามว่าคนตาบอดที่อยู่ในสังคมไทยใครจะอยากเป็น ผมเป็นคนตาบอดยังรู้สึกเลยว่าชีวิตเราช่างน่าเวทนาอย่างนี้ นี่ยังไม่รวมคนพิการคนอื่นนะ สิ่งแวดล้อมอย่างนี้ทำให้เกิดวิธีคิดแบบนี้ คนพิการเลยถูกกันออกจากสังคม เพราะใครเห็นแล้วก็ดูน่าเวทนา ถ้ามีคนพิการทำงานในออฟฟิศคุณ คุณจะรู้สึกยังไง ผมเชื่อว่าทุกคนไม่ได้รังเกียจ แต่พอเกิดการเปรียบเทียบเราจะรู้สึกสงสาร เพราะสิ่งแวดล้อมทำให้เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เต็มที่
ถามว่าวิธีคิดนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็เพราะภาพชินตาที่เราเห็น ถ้าผมทำได้ผมจะเปลี่ยนบทเรื่องบ้านทรายทอง (หัวเราะ) ชายน้อยต้องไม่พิการ พจมานเป็นนางเอกได้เพราะดีกับชายน้อย ส่วนคนอื่นไม่เอาชายน้อยเลย มันกลายเป็นว่าคนพิการคือสิ่งที่คนทั่วไปไม่ปรารถนา สภาวะพิการทำให้คนรู้สึกเวทนา ผมถามว่าสิ่งแวดล้อมแบบนี้ใครสร้าง คนที่สร้างคือรัฐ ทำไมที่ประเทศอื่นๆ เขาทำได้ ทำให้คนพิการไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนปกติ คุณจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ผมไม่อนุญาต ถ้าผมมีอำนาจการออกแบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของสังคมจะไม่ใช่แบบนี้
BTS ที่ให้คนพิการขึ้นฟรี แบบนั้นพอไหวไหม
ต่อพงษ์: คุณรู้ไหม BTS ห้ามคนตาบอดขึ้นบันไดเลื่อน เพราะเขากลัวคนตาบอดตกบันไดเลื่อน ผมถามกลับว่า อ้าว! แล้วทำไมคนทั่วไปไม่เคยตกบันไดเลื่อนเหรอ บันไดเลื่อนของ BTS น่ะเลื่อนไวมากนะ ผมได้ยินว่าเขาเคลมว่าเป็นบันไดเลื่อนที่เร็วที่สุด ไม่รู้เร็วที่สุดในโลกหรือเปล่า (หัวเราะ) ได้ยินมาว่าคนที่ไม่ใช่คนตาบอดก็เคยตก ถึงบอกว่าให้ขึ้นฟรีก็ตาม แต่บางอย่างมันไม่ได้เอื้ออำนวยเราขนาดนั้น ผมขึ้นบันไดเลื่อนไม่ได้ ต้องไปขึ้นบันไดธรรมดาแทน ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วก็อาจจะไม่อยากให้พวกผมขึ้นหรอก (หัวเราะ) เพราะว่าเราขึ้นฟรี ขึ้นไม่ฟรีก็ได้ผมยินดีจ่าย แต่ปฏิบัติให้เท่าเทียมหน่อยได้ไหม หรือมีอะไรที่ทำให้เราสะดวกมากขึ้น เราเป็นคนส่วนน้อยคงไม่สร้างภาระอะไรมากมาย แต่แบบนี้เราเหมือนกลายเป็นพลเมืองชั้น 2 สำหรับผมถ้าไม่จำเป็นไม่ขึ้นเลย ทำไมให้เราขึ้นบันไดเลื่อนไม่ได้ ผมหาเหตุผลในคำตอบไม่ได้ แล้วทำให้ผมสังเวชตัวเองว่า แค่เราไม่มีตา เราขึ้นบันไดเลื่อนไม่ได้เลยเหรอ
แต่ไปที่ประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว คุณก็คือคนทั่วๆ ไป
ต่อพงษ์: ผมถึงได้บอกไงว่า สิ่งแวดล้อมทำให้เกิดวิธีคิดว่าคนพิการน่าเวทนา
คุณคิดยังไงกับการที่คนอื่นมองว่าคุณเป็นคนพิการ
ต่อพงษ์: ถ้าไม่มองในเชิงเปรียบเทียบ ต่อพงษ์ก็คือต่อพงษ์ ถ้ามองในเชิงเปรียบเทียบ ผมเป็นคนพิการในสายตาของคุณ เราเปรียบเทียบอย่างอื่นไม่ได้เหรอ เปรียบเทียบความรู้ได้ไหม เราเปรียบเทียบของที่เรามีกับของที่เขามี ผมคิดว่าผมมีความสมบูรณ์ของผม สิ่งที่ผมมีอยู่ในปัจจุบันผมไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ผมมีวิถีชีวิตที่มีความสุข ผมพอใจในสิ่งที่ผมเป็น
ในช่วงชีวิตคุณ คุณอาจไม่เป็นคนพิการ แต่คุณอาจจะมีความพิการบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณก็ได้ เหตุผลของผมคืออุบัติเหตุ เหตุผลของคนอื่นคือความชรา ไม่ว่าใครก็ต้องเจอ ฉะนั้นการที่สิ่งแวดล้อม สังคมเป็นอุปสรรคที่ทำให้เกิดสภาวะความพิการมันยังดำรงอยู่ ให้คำนึงไว้ว่า วันที่คุณหมดคุณค่าทางเศรษฐศาสตร์ คุณจะกลายเป็นคนที่หมดคุณค่า คุณจะใช้เงินที่คุณสะสมมาอย่างระวังและยากลำบาก คุณจะไม่มีความสุขในชีวิต ผมแค่เตือนไว้
อะไรทำให้คุณเป็นคนคิดบวกได้ขนาดนี้
ต่อพงษ์: ผมเน้นเรื่องสภาวะตัวเราเอง ก่อนจะแก้ปัญหาอะไรสักอย่างต้องรู้ก่อนว่า เราอยู่ในสภาวะอะไร ด้วยความที่ผมถูกเลี้ยงมาให้ช่วยเหลือตัวเอง ให้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ให้แก้ปัญหาเอง ตอนเด็กๆ ผมมีแผลเต็มตัวเลย หัวแตก มีดบาดนี่เรื่องปกติ พอพ่อ-แม่ไม่กลัว หรือไม่ตำหนิในสิ่งที่ผมเป็น ผมก็ไม่คิดในแง่ลบกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้บวกกับวันที่ผมตาบอด คนในบ้านผมที่อยู่แบบครอบครัวขยาย ไม่มีใครว่าผมเลยสักคำเดียว แต่ผมก็โตพอจะรู้ตัวว่าตาบอดมันไม่เหมือนหัวแตก ผมรู้ว่าครอบครัวผมเสียใจ แต่เขาไม่ว่าเรา แล้วก็รู้ว่าถ้าผมเศร้ามากก็เหมือนไปซ้ำเติมความเสียใจให้ครอบครัวมากขึ้นอีก แต่ผมก็ยอมรับว่าในชีวิตที่ผ่านมาผมต้องอาศัยกำลังใจของตัวเองและคนรอบข้างมากเลย วันที่ผมเป็นคนตาบอด ครอบครัวผมไม่มีใครรู้เรื่องการดูแลคนตาบอดเลย ตอนอยู่บ้านผมรู้เลยว่าชีวิตคนตาบอดช่วงเริ่มต้นมันยาก ผมนอนอยู่ในห้องรับแขกเพื่อจะให้คนมาดูแลง่ายๆ ผมจะเดินไปห้องน้ำคนเดียวผมยังไม่กล้า ความกล้าที่ผมเคยมีอยู่เต็มเปี่ยมมันกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแม้จะลุกจากเตียงไปห้องน้ำ เพราะผมรู้สึกว่าต้องใช้ตาอยู่ พอผมไม่มีตาก็ไม่รู้แล้วว่าจะใช้อะไรในการนำตัวเองไปห้องน้ำ
พอเราเริ่มมีทักษะคุ้นเคยมากขึ้นก็ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ผมเลิกคิดว่าผมเป็นคนตาดี ผมคิดว่าต่อไปร่างกายผมจะไม่มีตาแล้ว พอผมเปลี่ยนความคิดแล้วผมก็หายสงสัยไปหลายอย่างเลยนะ เช่น ทำไมกูต้องรถชน ทำไมบ้านต้องมีรถ ทำไมพ่อต้องมาแต่งงานกับแม่ สงสัยไม่จบ แต่พอผมหมดความสงสัย เลิกหวังว่าจะรักษาหาย ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดว่า ‘ผมเป็นคนตาบอดที่โชคดี แต่ผมเป็นคนตาดีที่โชคร้าย’ เพราะผมเคยเห็นโลกมาแล้วตั้งเยอะแยะมากมายสิบกว่าปี แต่ผมไม่ใช่คนตาดีแล้ว ถ้าวันนี้เรายังคงความคิดว่าเรายังอยากจะรักษาหาย เรายังตั้งคำถามว่า ทำไมถึงตาบอด แสดงว่าเราไม่ปรับวิธีคิดตามสภาพความเป็นจริงที่เราเป็นอยู่ ถ้าเราปรับเราก็จะรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และจะเผชิญหน้ากับมันยังไง บนฐานความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นผมคิดว่ามันปรับใช้ได้กับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องธุรกิจหรือเรื่องชีวิต มันต้องประเมินสภาวะที่เราดำรงอยู่ให้ออก และเราก็จะรู้ว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และกำลังจะมุ่งไปสู่อะไร
แล้วคุณได้ชดเชยให้กับชีวิตที่เสียการมองเห็นไปอย่างไร
ต่อพงษ์: ชีวิตผมก่อนหน้านี้มีอิสรภาพทุกอย่าง ผมเดินทางไปในที่ๆ อยากไป ทำในสิ่งที่อยากทำโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น แต่วันที่ผมตาบอดอย่างน้อยแม้ว่าผมจะช่วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ด้วยสภาวะทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ มันทำให้เกิดข้อจำกัดในตัวผมบ้าง เช่น ความเป็นอิสรภาพที่ผมรักและภูมิใจมากที่สุดมันสูญหายไปกับการมองเห็น แต่วันนี้การที่ผมใช้คอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ หรือท่องอินเตอร์เน็ตได้ ผมกำลังคิดว่าผมได้เที่ยวอยู่ มีคนบอกว่า ทำไมพี่เติ๊ดเรียนจบแล้วจึงเรียนต่อ เดี๋ยวไปอบรมโน่นนี่นั่น ผมบอกว่าผมไม่เคยเบื่อเรื่องการเรียน ไม่เคยกลัวหรือท้อแท้กับการเรียน เพราะผมรู้สึกสนุก ผมกำลังได้เที่ยว ผมกำลังได้ผจญภัยไปในที่ๆ ลึกลับที่เราไม่เคยรู้ มันอยู่ในตัวหนังสือ อยู่ในโลกจินตนาการของผม ผมอ่านหนังสือวันละหลายชั่วโมง เสมือนว่าผมกำลังได้ท่องเที่ยวอยู่ ได้กลับไปใช้ชีวิตที่มีอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง
ผมชอบหนังสือพงศาวดารประวัติศาสตร์ และหนังสือพวกกำลังภายใน นิยายหรือวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์เหล่านี้มันได้ทั้งความสนุก ข้อเท็จจริง ผมเกิดคำถามเป็นร้อยเป็นหมื่นคำถามกับนิยายพวกนี้ว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นจริงรึเปล่า แล้วผมก็ค้นคว้าเลย ผมก็ได้เห็นถึงความเป็นจริง ผมรู้เลยว่ากงล้อประวัติศาสตร์มีอยู่จริง เรื่องการเมือง การบริหารอำนาจ การรักษาอำนาจมันเป็นวัฏจักร ถ้าเราเข้าใจสิ่งเหล่านั้น ผมคิดว่าเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เป็นประโยชน์ต่อการหาทางออกของปัญหาสังคม รวมถึงการเมือง เรารู้ว่าความขัดแย้งมันนำไปสู่การห้ำหั่นกัน การทำลายล้างกัน มันเกิดขึ้นทั้งโลก แล้วเรายังต้องการให้มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอีกเหรอ ทำไมเราถึงหาทางออกร่วมกันไม่ได้อย่างสันติที่ทุกคนจะพอรับได้ ไม่ใช่ทุกคนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกคนมีที่ยืนของตัวเอง
ผมกังวลถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจกำลังจะเกิดขึ้น มันเป็นการเพิ่มความเกลียดชัง แม้จุดที่ผมคิดไว้มันยังไปไม่ถึง แต่ผมเชื่อว่าเร็วๆ นี้สักวันต้องไปถึงจุดที่ทุกคนมานั่งพูดคุยกัน และบทสุดท้ายก็คือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทรัพยากรความมั่งคั่งของสังคมที่ถูกกระจายอย่างเป็นธรรม ปัญหาที่คนไม่อยากจ่ายภาษีเพราะจ่ายไปนักการเมืองขี้โกงก็เอาไปใช้ก็จะลดลง คนเข้าสู่ระบบฐานภาษีมากขึ้น ทรัพยากรที่จะนำมาใช้กระจายให้สังคมส่วนต่างๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้น มันต้องเข้าสู่ระบบนี้ให้ได้
นอกจากอ่านหนังสือ คุณชอบดูหนังไหม
ต่อพงษ์: ไม่ค่อยชอบดูหนังเท่าไหร่นะ (หัวเราะ) หนังเรื่องล่าสุดที่ผมดูคือ Dark Zero Thirty ซึ่งก็นานมากแล้วนะ ส่วนหนังที่ยังพอจำได้ว่าดูแล้วชอบก็คือ หนังสารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth (เรื่องจริงช็อคโลก) ถ้าผมจะชอบก็คงจะชอบดูหนังแนวที่เนื้อหาหนักๆ มันสอดคล้องกับวิสัยของผมที่ชอบค้นคว้าหาคำตอบ มันเหมือนได้หาภาพที่เรามองไม่เห็นมาประติดประต่อช่วยให้เราเห็นความสมจริงที่คนเห็นในโรงหนังได้เห็น แล้วเกิดเป็นภาพในจิตนาการขึ้นกับเรา ภายหลังจากที่เราได้หาข้อมูลในเรื่องนั้นเพิ่มขึ้น ส่วนหนังที่เป็น The Most Favorite เลยจริงๆ ก็คือเรื่อง Nothing Hill ซึ่งเป็นหนังขำๆ ผมก็ชอบนะ แต่ถ้าหนังแอ็คชั่นจริงๆ นี่ไม่ไหว ผมดูไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ)
มีคนบอกว่า แฟนคุณแต่ละคนน่ารักมาก มีวิธีเลือกยังไง
ต่อพงษ์: ผมยังไม่มีแฟนครับ ผมโสด (หัวเราะ) เพียงแต่มีคนมาบอกว่าคนที่ผมคุยด้วย หรือคนที่เคยพยายามจีบอยู่มีแต่หน้าตาดีๆ ทั้งนั้น (หัวเราะ) คนทั่วไปมองว่า สวยหรือหล่อจะมองที่หน้าตา มันมีรสนิยมกำกับอยู่ว่าหน้าตาแบบนี้คือสวย แต่ First Impression สำหรับผมคือ เสียง ในมุมมองของผมผู้หญิงสวยคือเสียงต้องสวย มีคนบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ ผมบอกว่าเสียงก็เป็นหน้าต่างของหัวใจได้ ผมได้ยินความอบอุ่นในน้ำเสียงเหมือนกัน จะความรัก ความโกรธ ความอบอุ่น ความเย่อหยิ่ง ทุกอย่างมันก็อยู่ในเสียงได้หมด มันเสมือนเป็นหน้าต่างของดวงใจอีกบานหนึ่ง เสียงสวยมาจากกะโหลกสวย เหมือนซอน่ะ เสียงจะเพราะกะโหลกต้องกลมมนคนที่เสียงดีต้องสันนิษฐานได้ก่อนเลยว่า กะโหลกศีรษะต้องได้รูป พอกะโหลกได้รูปส่วนใหญ่ก็จะหน้าตาดี แล้วมันสะท้อนถึงการเลี้ยงดู ถ้าพ่อ-แม่ไม่เอาใจใส่เด็กจะนอนหงายหัวก็จะแบน แต่ถ้านอนพลิกซ้ายพลิกขวาหัวจะทุย แสดงว่าได้รับการเอาใจใส่จากครอบครัวดีตั้งแต่เด็ก
นอกจากนี้เสียงจะสะท้อนความภูมิใจในตัวเอง เช่น คนที่มีความพอใจในรูปลักษณ์ของตัวเองจะมีความมั่นใจในการพูดคุย รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือ คนกลุ่มนี้จะมีน้ำใจ ยิ่งถ้าน้ำเสียงมีความมั่นใจผมรู้เลยว่าสวยแน่ๆ (หัวเราะ) ต่อมาคือกลิ่น ทั้งเสียงและกลิ่นเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งไม่ได้ และการสัมผัส ผมจะสัมผัสที่ต้นแขน อ้วนหรือผอมดูได้จากต้นแขน คนที่ผมเจอหลายๆ คนเธออาจไม่ใช่นางงาม เธออาจไม่ใช่คนสวยล้ำ แต่ผมรับประกันได้ว่าคนที่ผมให้ความสำคัญเป็นคนที่จิตใจดี และบังเอิญเขาหน้าตาดีไง (หัวเราะ)
“ก่อนจะทำอะไรทุกอย่างต้องไม่ตั้งต้นด้วยความเกลียดชัง ถ้าเริ่มด้วยความเกลียดชังมันจะสะใจ หรือไม่ก็เจ็บใจ”
“ผมเชื่อว่าเร็วๆ นี้สักวันต้องไปถึงจุดที่ทุกคนมานั่งพูดคุยกัน และบทสุดท้ายก็คือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น”
“ผมเป็นคนตาบอดที่โชคดี แต่เป็นคนตาดีที่โชคร้าย”
5 นักการเมืองที่ไม่ขอลืมตามาแล้วต้องเจอ
ผมต้องเลือกให้ครบทุกพรรคไหม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนหาว่าเป็นเสื้อแดง เป็น กปปส. (หัวเราะ) ผมขอบอกเป็นชื่อย่อนะ แล้วไปถอดความเอาเอง ก็มีทั้ง บ. ที่ดูลื่นไหลได้เสมอ ณ. อดีตนักโต้วาที ก. ของพรรคคนดี ส. อันนี้เดาเองว่า ส. ไหน และ ย. ครั้งหน้าขอไม่เอาได้ไหม (หัวเราะ)
5 แนวหนังสือที่ชอบอ่าน
อันดับ 5 หนังสือแนว How to หรือตำราวิชาการแนวบริหาร
อันดับที่ 4 หนังสือพระเครื่อง
อันดับที่ 3 หนังสือธรรมะ และปรัชญา
อันดับที่ 2 หนังสือประวัติศาสตร์
อันดับที่ 1 หนังสือวรรณกรรมจีนกำลังภายใน หรือวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์
ตำแหน่งต่างๆ ของ ต่อพงษ์ เสลานนท์ (แบบพอสังเขป)
- นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย (คนที่ 13)
- ที่ปรึกษากรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
- กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านคนพิการและผู้ด้อยโอกาสในคณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุนวิจัยและพัฒนา กสทช.)
- กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ
- สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ชุดที่ 2 และ ชุดที่ 3 )
- รองประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย
Text : พลสัน นกน่วม Photo : กฤตพล วิทย์ว่องไว ถอดความ : วรรษมน โฆษะวิวัฒน์
Make up : ณัฐธญาน์ พาสนายิ่งยงกุล
——————————————-
แหล่งที่มา 247 Free Magazine, Magazine Lifesyle อันดับต้นๆ ของไทย
ติดตามอ่านฉบับเต็มแบบออนไล์ได้ที่
หรือ ติดตามอ่านฉบับ Mobile App รายละเอียดได้ที่ https://247freemag.com/ipad/
comments