หากจะเทียบ ‘รถยนต์’ เป็นปัจจัยที่ 5 ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะในปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่มักจะพึ่งพายานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น รถยนต์ก็กลายเป็นตัวบ่งชี้สถานะทางสังคม และรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของไปในตัว จึงไม่แปลกอะไร หากคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนรถยนต์มากกว่า 1 ครั้ง เพื่อตามติดเทรนด์และตอบสนองความต้องการส่วนตัว
จากค่านิยมเหล่านั้น ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ทั่วโลกแข่งขันกันค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำ เพื่อถีบให้รถในสังกัดของตัวเอง ฉีกแหวกแนวออกไปต่างจากค่ายคู่แข่งอื่นๆ รวมถึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถในอนาคตให้มากที่สุด ดังจะเห็นได้จากงานมอเตอร์โชว์ตามเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์, ดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา, แฟรงค์เฟิร์ต เยอรมนี หรือแม้แต่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเอง ต่างก็กลายเป็นเวทีประลองยุทธ์ของค่ายรถทุกค่าย ที่ต่างก็งัดเอาของดีออกมาโชว์ทั้งนวัตกรรมและเทคโนโลยีแปลกใหม่เพื่อดึงความสนใจ และก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำแห่งโลกยานยนต์
หากมองในอีกแง่หนึ่ง การแข่งขันกันอย่างดุเดือดแบบนี้ ก็ส่งผลดีต่อผู้ใช้ รวมถึงพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่พักหลังทุกฝ่ายต่างก็คำนึงถึงและดึงมาเป็นจุดเด่นเพื่อสร้างความต่างให้กับค่ายของตัวเอง ว่าแล้ว ฉบับนี้ 24/7 จึงขอนำคุณผู้อ่านมาท่องโลกแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านยานยนต์ของค่ายรถยนต์จากทั่วโลก รับรองว่าคุณจะต้องอึ้งและทึ่งไปกับผลผลิตทางความคิดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์ อย่างแน่นอน
Customer Needs and Innovation
ยานยนต์ก็เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่มีการพัฒนาตามช่วงเวลาและเทคโนโลยีในแต่ละยุค
แต่ในการพัฒนายานยนต์ขึ้นมาสักรุ่นของแต่ละค่ายนั้นไม่ใช่ว่าจะใช้เวลาสามเดือน หกเดือน หรือ 1 ปี แต่มีการพัฒนากันเป็นหลักห้าปีถึงยี่สิบปี โดยเป็นการพัฒนาไปตามแผนแม่บทที่มีการวางไว้ล่วงหน้า และปรับปรุงตามเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยไปเรื่อยๆ จนถึงแผนสุดท้ายที่วางไว้
สาเหตุที่เราต้องพัฒนายานยนต์เพื่อหานวัตกรรมใหม่ๆ นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่ทำให้เกิดการพัฒนายานพาหนะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลองมองย้อนกลับไปในอดีต ข้อมูลหลายที่ระบุว่า Benz จากเยอรมนี เป็นรถยนต์คันแรกของโลกที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยจุดประสงค์เพื่อต้องการยานพาหนะที่ไม่ต้องออกแรงและไปถึงที่หมายได้เร็วกว่าเดิน นี่คือวัตถุประสงค์ที่รถคันแรกของโลกกำเนิดขึ้นโดยมีพื้นฐานจากจักรยาน
หลังจากนั้นยานพาหนะก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในเชิงพาณิชย์ โดยมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา คือ 1.เครื่องยนต์ 2.โครงสร้างแข็งแรง 3.ระบบรักษาความปลอดภัย 4.หลักกลศาสตร์ และ 5.ช่วงล่าง รวมไปถึงล้อ การพัฒนาสร้างยานพาหนะทุกค่ายต่างก็พัฒนาจากหลักการต่างๆ เหล่านี้ทั้งสิ้น ปัจจุบันเทคโนโลยีหลายค่ายแทบจะทันกันไม่มีใครเหนือไปกว่าใครเป็นพิเศษ รถเยอรมันอาจเด่นที่ระบบรักษาความปลอดภัย ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ในขณะที่รถทางฝั่งอเมริกาจะเน้นรูปทรงใหญ่ บึก ถึกและทน ส่วนรถญี่ปุ่นเน้นความประหยัดและการใช้งานที่อเนกประสงค์ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องแข่งขันกันไม่ใช่เรื่องความแรงอีกต่อไป แต่ต้องคำนึงถึงผู้บริโภคก่อนว่าเขาต้องการอะไร
ทุกวันนี้ยานพาหนะถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป็นหลัก นั่นจึงเป็นเหตุผลของการตั้งโรงงานกระจายในแต่ละภูมิภาค เช่นตลาดเอเชียโรงงานจะอยู่ที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือไทย เพื่อให้วิศวกรและทีม R&D ของแต่ละทวีปได้ร่วมกันออกแบบรถเพื่อใช้สำหรับพื้นที่นั้นๆ ฉะนั้น
เราเห็นรถบางคันรุ่นเดียวกับที่ขายในไทย แต่ทำไมออปชั่นบางอย่างหายไป ทำไมรุ่นนี้บ้านเรามี แต่รถในออสเตรเลียไม่มี ทำไมรถที่ญี่ปุ่นออปชั่นจัดเต็ม แต่รถที่ขายในบ้านเราสิ่งเหล่านั้นหายไปเรื่องนี้ทีมวิศวกรเขาคุยกันมาแล้ว แต่บางค่ายก็เริ่มลดต้นทุน ด้วยการดีไซน์ออกมาในลักษณะ Global Design เพื่อส่งขายไปทั่วโลกอีกทาง
Options ฟังก์ชันเสริมเพิ่มมูลค่า
นอกเหนือจากเครื่องยนต์ที่แรงแต่ประหยัดน้ำมัน ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นจุดขายแล้ว ด้านระบบรักษาความปลอดภัยรวมไปถึงฟังก์ชันเสริมก็เป็นสิ่งที่หลายค่ายไม่ได้ละเลยแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันตัวเลือกของรถมีเยอะมาก สิ่งที่สร้างความต่างไม่ใช่แค่ดีไซน์หรือความน่าเชื่อถือของแบรนด์ แต่กลายเป็นออปชั่นเสริมภายในที่เพิ่มเข้ามาล่อตาล่อใจ เช่น ทีวีสำหรับรถ MVP เนวิเกเตอร์ กล้องมองหลัง รวมไปถึงการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย ปัจจุบันเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85 ก็เริ่มพัฒนาให้อยู่ในรถรุ่นใหม่ที่ขายในบ้านเรา เพื่อรองรับการเติบโตด้านพลังงาน
ด้านระบบรักษาความปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกใส่ไว้ในเฉพาะรถแบรนด์หรู แต่รถระดับกลางทั่วๆ ไปก็มีการเสริมระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยเข้ามา อาทิ ระบบนำทางที่กลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานไปแล้ว ระบบ Electronic Stability Control ระบบที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของรถเรื่องการทรงตัว ซึ่งในอดีตอาจอยู่ในรถหรูหรือรถ SUV แต่วันนี้รถพิกัด 1.5 ลิตร ก็มีเทคโนโลยีนี้ หรือระบบส่งสัญญาณเตือนมุมอับที่กระจกชื่อ Blind spot detection ที่มักจะเห็นอยู่ในรถหรูเท่านั้น ทว่าวันนี้รถตลาดระดับกลางหรือใหญ่หลายแบรนด์ก็นำมาเป็นจุดขาย ซึ่งระบบสั่งการด้วยเสียง และออปชั่นต่างๆ มากมาย เหล่านี้คือการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ที่ช่วยสร้างจุดขายในรถแบรนด์ต่างๆ
Green Innovation นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนการพัฒนาเพื่ออนาคตหลังจากนี้ ทุกค่ายมุ่งมั่นไปพัฒนาเรื่องพลังงานทดแทน มีการวางแผนที่จะพัฒนารถพลังงานทดแทนอื่นๆ เพื่อชดเชยน้ำมัน ความเป็นไปได้ที่สุดคือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% และรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ถูกนำกลับมาพัฒนาอีกครั้งหลังจากเคยมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบันเครื่องยนต์ที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้ามีความเสถียร ทั้งในด้านแรงบิดและอัตราเร่งที่เกือบจะเทียบเท่ารถยนต์พลังงานน้ำมัน อนาคตหลังจากนี้ จึงค่อนข้างแน่ใจว่าเครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมาช่วยเสริมเป็นทางเลือกใหม่ของคนใช้รถในอนาคตอันใกล้
สาเหตุที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้ายังไม่สามารถทดแทนรถยนต์พลังงานน้ำมันได้เบ็ดเสร็จเป็นเพราะข้อจำกัดด้านไฟฟ้าของแต่ละประเทศที่ไม่เพียงพอ หากต้องนำไฟฟ้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงให้รถพลังงานทางเลือกชนิดใหม่ อีกทั้งมองในแง่ของการผลิตกระแสไฟฟ้าในปัจจุบัน อย่างเมืองไทยยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า หากจะเปลี่ยนรถบนถนนให้เป็นรถพลังงานไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าแบบเดิมอาจไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์พลังน้ำมันสู่รถยนต์พลังไฟฟ้า ยกเว้นจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้เราสามารถใช้รถไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเห็นรถพลังงานไฟฟ้าวิ่งในเมืองไทย ต่อให้ไม่มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เทคโนโลยีรถไฟฟ้าก็อาจจะถูกพัฒนาให้ใช้ไฟน้อยลง แต่เดินทางได้ไกลมากขึ้นก็เป็นได้
ย้อนกลับมามองภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงพัฒนาไม่หยุดในทุกวันนี้ มีอยู่จุดประสงค์เดียวที่นวัตกรรมถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกวันก็หนีไม่พ้นเรื่องเดียว นั่นคือ ตอบโจทย์ผู้บริโภค… ไม่ว่าอนาคตรถจะบินได้ รถไร้ล้อ รถพลังงานแสงอาทิตย์ หรือรถพลังงานอะไรก็ตาม
DID YOU KNOW?
1. ตัวอย่างที่น่าสนใจของการทำรถเพื่อผู้บริโภค คือ การเจาะตลาดของ Lexus ในอเมริกา โดยทาง Lexus ได้ส่งทีมวิศวกรไปใช้ชีวิตที่อเมริกาเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของคนที่นั่น ก่อนที่จะนำมาพัฒนาเป็นรถยนต์ ซึ่งปัจจุบัน Lexus สามารถเจาะตลาดอเมริกาได้
2. รถในเมืองไทยปัจจุบันได้ถอดอุปกรณ์เครื่องเล่นเพลงออกไปและกลายเป็นพอร์ต USB จอดิจิตอลแทน และในอนาคตจอดิจิตอลจะถูกตัดออกไป และกลายเป็นการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเฉพาะรถรุ่นนั้นๆ และให้ผู้ใช้รถโหลดแอพฯ ลงโทรศัพท์ตัวเอง แล้วใช้แอพฯ นั้นควบคู่ไปกับฟังก์ชันเสริมของรถ
QUOTE
“เทคโนโลยีคือเครื่องมือที่สามารถมอบอำนาจกับทุกคนอย่างเท่าเทียม”
Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google
Future Auto Innovations
ปัจจุบันการพัฒนาของยานยนต์ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมยานยนต์ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อก็มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดนิ่งตามประสามนุษย์ที่มีความต้องการค้นคว้าพัฒนาไม่สิ้นสุด อีกเหตุผลหนึ่งที่มีการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์อยู่เสมอ คือ เรื่องของการตลาด เรื่องความพึงพอใจของผู้บริโภค รวมไปถึงเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง และสิ่งต่างๆ ที่เราจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ คือการพัฒนาเพื่ออนาคตของแวดวงยานยนต์ บางอย่างเป็นจริงแล้ว และบางอย่างกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนา
SkyActiv เทคโนโลยีสุดล้ำจาก Mazda
เทคโนโลยี SKYACTIV เลยส่งผลให้รถ Mazda กลายเป็นรถที่น้ำหนักเบาที่สุด และเบากว่ารถพิกัดเดียวกันในตลาดถึง 10% เนื่องจากเครื่องยนต์เล็กลง และเบาขึ้น รถก็เคลื่อนไปได้เร็วขึ้นเนื่องจากแบกน้ำหนักน้อยลง (นักเทสต์รถหลายคนบอกว่า เบาลงร่วม 100 กก.) รวมไปถึงการออกแบบที่ตรงตามหลักกลศาสตร์ ทำให้การขับขี่ไม่ต้านลมและลื่นไหล เทคโนโลยี SKYACTIV ของ Mazda ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้รถคันนี้ดูล้ำสมัยกว่าเทคโนโลยีรถรุ่นอื่นๆ อย่างต่ำก็ 10 ปีเลยทีเดียวเนื่องจากโจทย์ที่ว่า Mazda จะพัฒนารถอย่างไรให้กินน้ำมันน้อยลง มีแรงมากขึ้น ปล่อยมลพิษน้อย และน้ำหนักเบา หลังจาก Mazda โดนติงว่า รถหนัก อืด กินน้ำมัน และปล่อยไอเสียเยอะ Mazda เลยกลับไปคิดหนักเพื่อปรับปรุงรถให้ตอบโจทย์ หลังจากหลบไปพัฒนาอยู่นาน Mazda ก็ค้นพบเทคโนโลยีที่ทำให้ Mazda กลายเป็นรถที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ารถในตลาดคันอื่นๆ ไม่ว่าจะพิกัดเดียวกัน หรือเป็นแบรนด์ที่หรูกว่า ด้วยเทคโนโลยี SKYACTIV ที่ปรับปรุงทั้งสิ้น 5 ส่วน คือ เครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซล ระบบเกียร์ใหม่ โครงสร้างตัวถัง และระบบช่วงล่าง โดยมองลึกลงไปที่ข้อจำกัดของรถยนต์ในปัจจุบัน และศึกษาหาทางออกทางวิศวกรรมที่ช่วยให้ลบข้อจำกัดทางเทคนิคนั้นให้หมดไป เช่น ศึกษาหลักพลศาสตร์การขับขี่อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถนำเรื่องของพลศาสตร์มาช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่รถ และช่วยให้ประหยัดน้ำมันในเวลาเดียวกัน การพัฒนารถรุ่นใหม่ๆ ของ Mazda จะให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการปรับปรุงเทคโนโลยียานยนต์ทั้งคัน
Auto Security เบรกก่อนได้เปรียบ
ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ค่ายรถให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ไม่แพ้เรื่องของเครื่องยนต์เลยทีเดียว อย่างค่าย Honda และ Volvo ต่างก็พัฒนาระบบเบรกอัจฉริยะที่ช่วยตัดสินใจแทนคนขับ ระบบนี้มีชื่อว่าAutonomous Emergency Braking ที่จะทำงานเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหน้า แล้วคนขับไม่เหยียบเบรก ระบบจะทำการคิดเองและสั่งให้เบรกของรถทำงานก่อนที่รถจะไปปะทะกับวัตถุหรือบุคคล เรียกได้ว่าเป็นระบบอัจฉริยะที่ช่วยคิดแทนคน เพราะอย่างน้อยการตัดสินใจของคอมพิวเตอร์ก็น่าจะรวดเร็วกว่าสมองมนุษย์ ซึ่งระบบเบรกอัตโนมัติไม่ได้มีอยู่ในรถแบรนด์หรูเพียงอย่างเดียว แต่รถตลาดทั่วๆ ไปก็มีออปชั่นนี้ ทว่าเมื่อถูกขายในบ้านเราระบบนี้มักจะโดนตัดทิ้งด้วยสาเหตุคือ ลดต้นทุน!
Self-Driving Cars ขับเองก็ได้ไม่ง้อคน
ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 1950 บริษัท เจนเนอรัลมอเตอร์ส หรือ GM ได้ผลิตรถไร้คนขับเป็นครั้งแรก ในชื่อ ‘ไฟร์เบิร์ด 2 (Firebird II)’ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่สูงเท่าสมัยนี้การสั่งการให้นกไฟวิ่งนั้นยังคงต้องอาศัยสายไฟที่ฝังอยู่ใต้ถนนเป็นตัวนำทาง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีแผนที่ดาวเทียม และ GPS ก้าวหน้าไปไกล Google เจ้าพ่อแผนที่ของโลกเลยพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ และอัดเทคโนโลยีด้านการประมวลผลเพื่อความปลอดภัยเข้าไป เช่น เซ็นเซอร์การตรวจจับวัตถุ หรือเซ็นเซอร์วิเคราะห์ป้ายจราจรเพื่อควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Google ได้ทดลองรถไร้คนขับไปเมื่อต้นปี 2013 ด้วยระยะทาง 3 แสนกิโลเมตร พบว่ามันทำงานได้อย่างน่าพอใจ ขณะที่ค่ายรถยนต์ชั้นนำเองก็พัฒนาระบบรถไร้คนขับ อาทิ BMW หรือ Toyota ซึ่งต่างคนต่างก็มีสูตรเฉพาะตัว ไม่จำเป็นต้องเป็นค่ายรถยักษ์ใหญ่เท่านั้นที่ทำได้ กระทั่งนักศึกษาธรรมดาๆ (แต่มีความสามารถด้วยนะ) จากเยอรมนี ชื่อ พอล โรจาส ก็สามารถสร้างรถไร้คนขับที่สั่งให้เดินทางด้วยระบบ GPS นำทาง มีการคาดการณ์เอาไว้ว่า ในอนาคตราวๆ ปี 2019 เราอาจได้เห็นรถไร้คนขับเปิดตัวในเชิงพาณิชย์จริง อยู่ที่ว่าค่ายไหนจะขยับก่อน
Downsizing เล็กแต่แรง
หลายค่ายเริ่มตั้งโจทย์ในการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่โดยเปลี่ยนแนวคิดการสร้างรถยนต์ให้แรงด้วยการอัดกำลังเครื่องยนต์และแรงม้าเข้าไป กลายเป็นสร้างเครื่องยนต์ให้เล็กลง เบาขึ้น แต่มีแรงม้ามากกว่ารถที่เครื่องยนต์สูงกว่าด้วยการใช้เทอร์โบ และรายละเอียดอื่นๆ เข้าไปรถระดับเล็กที่เราเห็นคือ Ford Fiesta Ecoboost เครื่องยนต์ 1.0 แต่ใส่เทอร์โบเข้าไป ทำให้สร้างแรงม้าได้ถึง 125 ตัวในเครื่อง แรงบิด 170 นิวตัน-เมตร ผิดกับรถอีโคคาร์เครื่องยนต์ 1.2 ที่เป็นรองทั้งแรงม้าและแรงบิด ทั้งๆ ที่เครื่องยนต์มากกว่า หรือรถระดับ BMW M3 2014 ก่อนหน้านั้นเป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ก็มีการพัฒนาเป็นเครื่องยนต์ 3.0 มี 6 สูบ เพิ่มเทอร์โบ 2 ตัว แต่ได้แรงม้ามากถึง 400 กว่าแรงม้า แรงขึ้นแบบที่ไม่ต้องสร้างเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ แต่ใส่เทอร์โบลงไปแทน คล้ายกับคนตัวเล็กที่ถูกติดอาวุธให้สู้กับยักษ์ได้นั่นแหละ
Hybrid Technology รถยนต์ลูกครึ่ง
รถพลังงานลูกผสมหรือรถ Hybrid เป็นหนึ่งในรถที่ถูกพัฒนาตอบสนอง 2 สิ่ง คือ ความประหยัด และการลดใช้พลังงานน้ำมันลง ซึ่งในแง่เหตุผลด้านการตลาด การโฆษณาว่ารถคันนี้เครื่องแรงเท่าเดิม แต่กินน้ำมันน้อยลง มีผลต่อผู้บริโภคอย่างมาก การพัฒนารถไฮบริดจึงเกิดขึ้นและ Toyota เป็นค่ายรถรายแรกของโลกที่พัฒนาระบบเครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้าขึ้นมาเมื่อปี 1997 กับรถรุ่น Toyota Prius และส่งขายในเชิงพาณิชย์หลายประเทศทั่วโลก ปัจจุบันหลายค่ายก็พัฒนารถยนต์ไฮบริดขึ้นมา แต่หลักการทำงานก็แตกต่างกัน ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างกัน คือ ช่วยประหยัดน้ำมัน ลดการปล่อยมลพิษและทำให้ภาพลักษณ์ของคนใช้รถไฮบริดดูเท่ขึ้น เพราะได้ขับรถที่มีเทคโนโลยีล้ำๆ ปัจจุบันรถไฮบริดยังคงถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทุกค่ายต้องมีรถไฮบริดเป็นของตัวเอง ที่น่าสนใจคือความแรงที่ถูกพัฒนาเพิ่มเข้ามาทำให้ภาพลักษณ์ที่ว่า รถไฮบริดต้องช้า ทำความเร็วไม่ได้นั้นไม่จริง ทั้ง BMW i3 และ Ferrari LaFerrari พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
Applications for Cars มหกรรมความบันเทิงในรถ
มีผลวิจัยบริษัทในสหรัฐฯ ได้ทำการสำรวจเรื่องอิทธิพลของเทคโนโลยีและระบบเชื่อมต่อในรถยนต์ว่าส่งผลต่อการซื้อรถแค่ไหน ปรากฏว่า 35% บอกว่าเทคโนโลยีสำคัญมากๆ ตามมาด้วยสมรรถนะรถ 22% คุณค่าแบรนด์และราคาขายต่อ 19% ดีไซน์ 12% ระบบรักษาความปลอดภัย 8% และความหรูหรา 4% สิ่งนี้จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรม หรือแอพพลิเคชั่น อย่าง Google, Apple, Microsoft และ BlackBerry ต่างก็ตอบสนองการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้รองรับกับอุปกรณ์เสริมของค่ายรถต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย อาทิ Honda, Ford, Suzuki, Mitsubishi, TOYOTA, Nissan, Hyundai, BMW, Jaguar, Peugeot, Citro?n, Subaru และอีกมากมาย ต้องดูว่าค่ายไหนเลือกใช้โปรแกรมของใคร หน้าที่หลักของแอพพลิเคชั่นก็คือ สร้างความบันเทิง เสริมการควบคุมระบบต่างๆ ในรถ เช่น เนวิเกเตอร์ การสั่งงานด้วยเสียง รองรับการใช้งานโทรศัพท์ ที่สามารถสั่งให้โทรศัพท์เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในรถและสามารถรับสาย หรือโทรออกได้โดยที่ไม่ต้องก้มหน้าไปสัมผัสโทรศัพท์ เท่เหมือนในหนังเลย
Electric Cars
รถ (พลัง) ไฟฟ้ามาหานะเธอ
แนวคิดการสร้างรถที่วิ่งด้วยพลังไฟฟ้าแบบ 100% เริ่มต้นมาได้ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แต่ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีข้อจำกัดหลากหลาย โดยเฉพาะระยะทางการวิ่งที่ไม่สามารถไปได้ไกลสักเท่าไหร่ รวมถึงการชาร์จไฟก็เป็นอุปสรรค แต่ศตวรรษที่ 21 โครงการรถพลังงานไฟฟ้าถูกรื้อกลับมาพัฒนาใหม่อีกครั้งโดยค่ายรถหลายค่ายเห็นพ้องว่า วิกฤติทางพลังงานกวักมือเรียกอยู่ไม่ไกล ปัจจุบันรถพลังงานไฟฟ้าถูกสร้างให้มีความเร็วเทียบเท่ารถใช้น้ำมัน ไม่เพียงแต่รถยนต์เท่านั้น แต่มอเตอร์ไซค์สไตล์สปอร์ตก็ถูกพัฒนาให้เป็นรถพลังงานไฟฟ้าเช่นกัน รถพลังงานไฟฟ้าไม่ได้เพียงแต่ช่วยลดการใช้น้ำมัน แต่ยังช่วยลดมลพิษที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงด้วย ไม่เพียงแต่ค่ายรถ แต่เอกชนและรัฐบาลต่างก็เร่งสร้างสถานีชาร์จไฟเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถพลังงานไฟฟ้า ทั้งยังพัฒนาให้การชาร์จไฟเต็มเร็วขึ้นด้วย
หลายประเทศที่เริ่มใช้รถไฟฟ้ากันอย่างจริงจัง และมีแผนแม่บทที่จะปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะให้กลายเป็นรถพลังงานไฟฟ้า หลายเมืองใหญ่เริ่มปรับให้ระบบขนส่งของประเทศตนใช้รถพลังงานไฟฟ้านำร่องแล้ว อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง จีน เม็กซิโก และสหรัฐฯ ด้านเกาหลีใต้ก็พัฒนา The Online Electric Vehicle หรือ OLEV รถไฟฟ้าที่สามารถวิ่งไปด้วยชาร์จไฟไปด้วยผ่านเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Shaped Magnetic Field in Resonance หรือ SMFIR ซึ่งจะมีการฝังสายไฟเอาไว้ใต้พื้นผิวถนนที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งจะทำการชาร์จไฟเป็นระยะระหว่างที่รถวิ่งโดยไม่ต้องเข้าสถานีเพื่อชาร์จไฟ
Flying Cars รถบินได้กลายเป็นจริง
อุตสาหกรรมรถยนต์ยังไม่มีใครกล้าลงทุนสร้างรถประเภทบินได้ในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากตลาดยังไม่กว้าง แต่ก็มีคนที่คิดอยากจะสร้างรถบินได้เพื่อขายเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากจะบินโดยรถของตัวเอง ต้นปี 2013 บริษัท เทอร์ราฟูเจีย ในสหรัฐฯ ได้ประกาศสร้างรถบินได้สำเร็จชื่อว่า Trasition และจะวางขายในเชิงพาณิชย์ในปี 2014 ราคาอยู่ที่ราวๆ 8 ล้านบาท และมีคนวางมัดจำแสดงความจำนงขอซื้อรถบินได้แล้ว
อีกรายที่ประกาศว่ากำลังสร้างรถบินได้คือ Aeromobil 2.5 รถบินได้สัญชาติสโลวาเกีย โดย ?tefan Klein เป็นคนสร้าง ที่ใช้เวลาพัฒนาร่วม 23 ปี จนผลิตรถต้นแบบขึ้นมาได้ แต่ในเชิงพาณิชย์นั้นยังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ หากมองในแง่ของการพัฒนาให้รถบินได้เป็นอุตสาหกรรมระดับ Mass Product ยังคงเป็นเรื่องยาก เพราะกฎหมายการบินในหลายประเทศไม่เหมือนกัน ทว่านวัตกรรมนี้ก็ทำให้รู้ว่า มนุษย์เราจินตนาการสูงและทำได้จริงมีอยู่
WOW!!
เทคโนโลยีสุดล้ำของยานยนต์แห่งอนาคตUltrasonic Force Fields
McLaren ซูเปอร์คาร์สุดหรูจากเกาะอังกฤษ กำลังพัฒนาระบบปัดน้ำฝนแบบใหม่ โดยการใช้คลื่นเสียง Ultrasonic ที่ประยุกต์มาจากระบบทำความสะอาดกระจกหน้าของเครื่องบินขับไล่ ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้กับรถในสายการผลิตที่จะเปิดตัวในปี 2015 รุ่น p13
Smartwatch บอกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถ
ผลงานการร่วมมือของ Mercedes Benz กับ Pebble Technology ซึ่งได้ทำการผลิตอุปกรณ์คล้ายนาฬิกาข้อมือ สามารถเชื่อมต่อกับรถผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยจะแสดงสถานะต่างๆ ของรถผ่านทางหน้าจอ ไม่ว่าจะอยู่ในรถหรือไม่ก็ตาม โดยสามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ ของรถได้ อย่างเช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง การล็อกประตู และตำแหน่งปัจจุบันของรถ นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งเตือนเรื่องสำคัญเมื่อคุณอยู่ในรถได้ เช่น อุบัติเหตุ การก่อสร้างถนน และสภาพการจราจร อีกทั้งหากทำการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่น Digital DriveStyle ก็จะช่วยให้ทำงานหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเส้นทางล่วงหน้า การใช้งานระบบ Siri ใช้เป็นรีโมตคอนโทรล รวมทั้งแสดงสภาพการจราจรบริเวณใกล้เคียงกับตำแหน่งของรถ
48-volt Lithium-ion Micro Hybrid Battery
ผลงานล่าสุดของ Johnson Controls ผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ยี่ห้อ VARTA ซึ่งได้ผลิตแบตเตอรี่ 48-volt Lithium-ion Micro Hybrid ออกมารุ่นแรก ประกอบด้วยโครงสร้าง Dual Voltage มีการจ่ายไฟฟ้า 12 โวลต์สำหรับสตาร์ตเตอร์ และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน 48 โวลต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการผลิตพลังงานและอัตราสิ้นเปลือง สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้กว่า 15% และช่วยลดปริมาณมลพิษ โดยเทคโนโลยีของแบตเตอรี่รุ่นนี้ คาดว่าจะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของแบตเตอรี่ในอนาคต โดยจะเริ่มนำไปใช้ในโซนยุโรปก่อน จากนั้นจะกระจายทั่วโลกภายในปี 2020
OK Glass
แก็ดเจตที่สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากจาก Google กับชุดคำสั่ง OK Glass ทำให้ในตอนนี้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างก็พยายามที่จะเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับรถยนต์ เพื่อ
ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดังเช่นยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ Hyundai ก็ได้เตรียมอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้ Blue
Link System ด้วยการเพิ่มความสามารถของ Application ที่มีอยู่ให้สามารถเรียกใช้คำสั่งพื้นฐานผ่าน Google Glass ได้ โดยเน้นไปที่นอกตัวรถ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ อย่างเช่น ปลดล็อก สตาร์ตรถ ขอดูข้อมูลสถานะรถ กำหนดการเช็กรถตามระยะ รวมถึง SOS ฟังก์ชันขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้กับรถ Hyundai Genesis รุ่นปี 2015
Cool Concepts
BUGATTI 12.4 Atlantique Concept
ผลงานการออกแบบของดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียน Alan Guerzoni รถต้นแบบ BUGATTI 12.4 Atlantique Concept ซึ่งอาศัยพื้นฐานงานต้นแบบของรถเก่าในอดีต 1935 Type 57 SC Atlantic Coupe โครงสร้างสร้างจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ครอบทับด้วยตัวถังแบบ Steamlined Body ลักษณะเป็นรถสไตล์สปอร์ตคูเป้ หน้ายื่นยาว ท้ายลาดสั้น ออกแบบช่องดักลมระบายอากาศ และประตูเปิดออกจากด้านหน้าแบบรถโบราณ สอดแทรกเทคโนโลยีทันสมัยเข้าไปเป็นองค์ประกอบได้อย่างกลมกลืน ตัวรถเน้นสีทูโทนอันเป็นลักษณะเฉพาะตามที่ค่ายใช้กับรถชั้นสูงอย่างตระกูล Veyron ไฟส่องสว่างใช้เทคโนโลยีแบบ LED ขณะที่ส่วนประกอบอื่นก็ออกแบบให้มีการต้านกระแสลมน้อยที่สุด
Rolls – Royce Eidolon 2030 Concept
รถสุดล้ำนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรือยอชท์สุดคลาสสิก ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีอันทันสมัย ผลงานการออกแบบของ Ying Hern Pow ชาวสิงคโปร์ที่ได้รับรางวัล The 2013 A’Design Silver Award in the Vehicle, Mobility & Transportation Design Category นอกจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาแล้ว ส่วนอื่นๆ ของรถก็น่าเร้าใจอยู่ไม่เบา โดยเฉพาะล้อทั้งสี่ที่มีจุดหมุนอิสระอยู่ตรงกลาง สามารถปรับระดับความสูงเพื่อวิ่งบนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบได้ ในขณะที่ห้องโดยสารถูกออกแบบให้แยกอิสระออกจากกัน 5 ตำแหน่ง โดย 2 ตำแหน่งหลังจะวางในระดับที่สูงกว่า ส่วนคนขับจะอยู่ตรงกลางในตำแหน่งสูงขึ้นคล้ายๆ กับการควบคุมในห้องเคบินของสะพานเดินเรือ สำหรับผู้โดยสารจะได้มุมมองโปร่งแบบ Panoramic Electrochromatic Glass ที่ด้านบนเรียกว่า See-through Panoramic Roof พร้อมกระจกปรับแสงได้ สามารถมองทิวทัศน์ด้านนอกได้อย่างจุใจ โดยที่คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นข้างในรถได้เลย
Mercedes SL GTR Concept
ผลงานความคิดของ Mark Hostler นักศึกษาจาก Staffordshire University ผู้ซึ่งเคยมีผลงานเจ๋งๆ มาแล้ว อย่าง Lamborghini Ferruccio Concept ครั้งนี้ เขาได้มาทำงานร่วมกับค่าย Mercedes Benz โดยออกแบบยนตรกรรมแนวรถแข่งทางเรียบแบบ Endurance อย่าง Le Mans ตัวรถเป็นคาร์บอนไฟเบอร์แบบฟอร์มูลาร์ ล้อปิด ห้องโดยสารเป็นทรงโดมหลังคารูปหยดน้ำสร้างด้วยวัสดุคาร์บอนชนิดพิเศษ เพื่อเน้นในเรื่องความปลอดภัยของนักแข่ง อีกทั้งยังมีสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ไว้เพิ่มแรงกดบนตัวถัง ในขณะที่ตัวรถเคลือบสี Silver Arrow มีประตูเปิดแบบปีกนก และหลังคามี Scoop ตัวกลมเพื่อระบายความร้อน ในส่วนของเครื่องยนต์ เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Mercedes AMG กับ Nismo ค่าย Nissan ใช้เครื่องยนต์โมดิฟายของรถแข่ง NISSAN GTR GT1 แบบ V8 พิกัด 5.5 ลิตร
DON’T MISS
นักเลงรถต้องไม่พลาด มาอัปเดตกับงานมอเตอร์โชว์เจ๋งๆ ทั่วโลก
1. Geneva International Motor Show
‘1 ใน 3 งานมอเตอร์โชว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป’
Where: Palexpo นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
When: จัดขึ้นทุกปี สำหรับปีนี้ตรงกับช่วง 6-16 มีนาคม
What’s to look for: งานนี้เหมาะสำหรับคนที่หลงรักรถแนวสปอร์ต ซูเปอร์คาร์ และรถสไตล์หรูหรามีระดับ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสนามประลองขนาดย่อม ค่ายไหนมีดีเป็นต้องงัดมาโชว์ ไม่มีกั๊ก จึงไม่แปลกใจหากทุกค่ายจะใช้ที่นี่เป็นที่เปิดตัวรถรุ่นใหม่ครั้งแรกของโลก รวมถึงรถต้นแบบด้วยHighlight! พระเอกสำหรับปีนี้ต้องยกให้ Lamborghini Hurac?n ที่ออกมาเผยโฉมเพื่อทำการตลาดแทน รุ่น Gallardo, Ferrari California T สปอร์ตเครื่องยนต์วางด้านหน้า หลังคาแข็งพับได้ มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 3,900 ซีซี เทอร์โบ บล็อกใหม่ที่รีดกำลังออกมาได้ 560 แรงม้า และ Mclaren เปิดตัวรุ่น 650s ทั้งรุ่นสปอร์ตเปิดประทุนและสปอร์ตคูเป้ อัปเกรดเครื่องยนต์เป็น 650 แรงม้า
2. Frankfurt Motor Show (IAA)
‘เวทีมอเตอร์โชว์ระดับโลก ที่เป็นที่สุดทั้งในแง่ของชื่อชั้นและความกว้างขวางของพื้นที่จัดแสดง’
Where: Frankfurt am Main, Hesse เยอรมนี
When: จัด 2 ปีต่อครั้ง เฉพาะปี ค.ศ.ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ ประมาณช่วงเดือนกันยายน
What’s to look for: งานนี้อัดแน่นด้วยสีสันและความแปลกใหม่ เพราะต่างรอคอยที่จะปล่อยของกันมาถึง 2 ปีเต็ม ทั้งแบรนด์เจ้าถิ่นอย่าง มอร์เซเดสเบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, ออดี้, โฟล์คสวาเก้น, โอเปิล และปอร์เช่ รวมไปถึงแบรนด์ดังๆ ของยุโรปและเอเชียต่างก็ตบเท้าเข้ามาอวดโฉมนวัตกรรมใหม่ๆ กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
3. North American International Auto Show (NAIAS) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Detroit Auto Show
‘มอเตอร์โชว์ระดับโลกรายการแรกแห่งปี ที่โชว์ความเก๋ามาอย่างต่อเนื่อง’
Where: Cobo Center, ดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา
When: ส่วนมากจะจัดในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี
What’s to look for: นอกจากจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในเวอร์ชั่นปี 2015 แล้ว ยังมีการประกาศรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งทวีปอเมริกาเหนือ โดยปีนี้ รถยนต์ตกเป็นของ Chevrolet Corvette C7 Stingray และรถปิกอัพ / เอสยูวี ตกเป็นของ Chevrolet Silverado ปิกอัพแบบ Full Size
4. Tokyo Motor Show
‘รถใหม่ สุดล้ำ แห่งอนาคต’
Where: Tokyo Big Sight กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
When: จัด 2 ปีต่อครั้ง ในปี ค.ศ.ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ คล้ายกับ IAA ส่วนมากจะจัดช่วงปลายปี
What’s to look for: เวทีสำคัญในการแสดงยนตรกรรมหลากรุ่นหลายสไตล์ของบริษัทรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น ทั้งการเปิดตัวคอนเซ็ปต์คาร์ และรถรุ่นใหม่สู่ตลาดเป็นครั้งแรก รวมถึงการนำยานยนต์สุดล้ำเกินจินตนาการ ราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝันของยานยนต์ งานนี้นับว่าค่อนข้างใกล้ชิดกับตลาดไทยเพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ล้วนมาจากญี่ปุ่น
5. Bangkok International Motor Show
‘มหกรรมยานยนต์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งกรุงเทพฯ พร้อมข้อเสนอพิเศษมากมาย’
Where: อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี
When: จัดขึ้นทุกปี โดยปีนี้จะอยู่ในช่วง 26 มีนาคม – 6 เมษายน
What’s to look for: เหมาะสำหรับคนที่รักรถและกำลังมองหารถยนต์ รถจักรยานยนต์ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับรถยนต์ พร้อมข้อเสนอและโปรโมชั่นสุดพิเศษภายในงาน
Highlight! สำหรับปีนี้มาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The most innovative automotive technology works for mankind – นวัตกรรมใหม่ล่าสุดเทคโนโลยียานยนต์สำหรับมนุษย์’ พบกับรถต้นแบบมากมายที่ค่ายรถต่างๆ พากันขนออกมาโชว์ รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คุณจะต้องอึ้ง!!
Text : พลสัน, iD11
——————————————-
แหล่งที่มา 247 Free Magazine, Magazine Lifesyle อันดับต้นๆ ของไทย
ติดตามอ่านฉบับเต็มแบบออนไล์ได้ที่
หรือ ติดตามอ่านฉบับ Mobile App รายละเอียดได้ที่ https://247freemag.com/ipad/
comments